วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2553

บันทึก ช่วยจำของ"เหลียงจี้จาง" [FW Mail]


บันทึก ช่วยจำของ"เหลียงจี้จาง" Very very Good!!!!

> เหลียงจี้จาง”เป็นพิธีกรดังของ TVB ในฮ่องกงและเป็นนักเขียนด้วย บันทึกช่วยจำที่เขาเขียนให้ลูก ได้รับการเผยแพร่เป็นวงกว้างเมื่อไม่นานมานี้ นอกจากแสดงถึงความห่วงหาอาทรที่พ่อมีต่อลูกเฉกเช่นคุณพ่อทั่วๆไป มุมมองของเขาบางเรื่อง(แบบสังคมฮ่องกง) แม้บางคนจะเคยประสบมาบ้างเหมือนกัน
>
อ่านแล้วก็ยังอดอึ้งไม่ได้ เลยถ่ายทอดสู่กันฟัง...
>

> ลูกรัก..ที่พ่อเขียนบันทึกช่วยจำฉบับนี้ให้ลูก มีเหตุผลอยู่ 3 ประการ คือ

> 1. สรรพสิ่งล้วนอนิจัง จะมีชิวิตอยู่ได้อีกนานเท่าใดไม่มีใครบอกได้ พ่อจึงคิดว่า บางเรื่องพ่อน่าจะสั่งเสียไว้แต่เนิ่นๆ ย่อมจะดีกว่า
> 2. เพราะพ่อเป็นพ่อของลูก ถ้าพ่อไม่บอกลูก ไม่มีใครหรอกที่เขาจะบอกลูกแบบที่พ่อบอก

> 3. สิ่งที่พ่อบันทึกไว้นี้ ล้วนเป็นประสบการณ์อันแสนเจ็บปวดที่พ่อได้เรียนรู้มา มันจะทำให้ลูกไม่ต้องเสียเวลาไปเรียนรู้มันอีก
>

> ในชีวิตของลูก ขอให้จำสิ่งต่างๆเหล่านี้ไว้ให้ดี

>
1. คนที่ไม่ดีต่อเรา ไม่ต้องไปใส่ใจนัก ในชีวิตคนเรา ไม่มีใครมีหน้าที่ที่จะต้องมาดีต่อเรา ยกเว้นพ่อกับ
> แม่ของลูก สำหรับคนที่ดีกับลูก นอกจากลูกต้องหวงแหนและขอบคุณเขาแล้ว ยังต้องคอยระวังตัวไว้ด้วย

> เพราะคนเราทุกคน ทำอะไรย่อมมีจุดประสงค์ เขาทำดีกับลูก ใช่ว่าเขาจะทำเพราะชอบลูกเสมอไป

> ลูกต้องตระหนักจุดนี้ให้ดี อย่าเพิ่งรับเขาเป็นเพื่อนเร็วเกินไป (น่ากลัวไหม)

>

>
2.ไม่มีคนที่ทดแทน กันไม่ได้ และไม่มีสิ่งใดที่ต้องมีให้ได้ ถ้าเข้าใจจุดนี้ หากวันใดคนข้างกายของลูกไม่ต้องการลูกอีกต่อไป หรือวันใดที่ลูกต้องเสียสิ่งที่รักที่สุดไป ลูกจะได้เข้าใจ ว่านี่ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายอะไรเลย
>

>
3. ชีวิตนี้แสนสั้น (จะอยู่แค่ 160 ปีเอง)หากลูกยังใช้ชีวิตอย่างไม่เห็นคุณค่า พรุ่งนี้ลูกจะพบว่าชีวิตจะ
> หลุดลอยไปไกลยิ่งขึ้น ดังนั้น ยิ่งรู้จักถนอมชีวิตเร็วเท่าใด เวลาที่ลูกจะได้รับความสุขจากชีวิตก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น หาความสุขเสียแต่วันนี้ ดีกว่านั่งหวังให้มีอายุยืนนาน

>

>
4. ในโลกนี้ไม่มีเรื่องรักนิรันด์กาล ความรักเป็นเพียงความรู้สึกชั่ววูบ โดยความรู้สึกนี้ย่อมเปลี่ยนไปตาม กาลเวลาและอารมณ์ หากสิ่งที่ลูกรักมากที่สุดจากลูกไป ขอให้รอคอยอย่างอดทน ให้เวลาช่วยชะล้าง ให้จิตใจค่อยๆตกตะกอน แล้วความทุกข์ของลูกจะค่อยๆจางหายไป.. อย่าวาดหวังความรักให้สวยเกินไป
> และอย่าซ้ำเติมการอกหักให้ทุกข์เกินเหตุ

>

>
5. แม้ว่าคนหลายคนที่ประสบความสำเร็จในโลกนี้ไม่ได้เรียนมาสูง แต่ไม่ได้หมายความว่า หากไม่ขยัน เรียน แล้วจะได้ดีความรู้คืออาวุธ คนเราอาจสู้แล้วรวย แต่ไม่มีทางรวยได้ หากปราศจากอาวุธสู้.. จำไว้
>

>
6. พ่อจะไม่ขอให้ลูกเลี้ยงดูครึ่งชีวิตหลังของพ่อ เพราะพ่อก็จะไม่เลี้ยงดูครึ่งชีวิตหลังของลูกเช่นกัน เมื่อ ลูกโตพอจนเป็นอิสระได้แล้ว พ่อก็หมดหน้าที่แล้วเช่นกัน หลังจากนั้นไป ลูกจะนั่งรถเมล์หรือจะนั่งรถเบ๊นซ์จะกินหูฉลามหรือจะกินบะหมี่ยำๆ ลูกต้องเลือกเอง
>

>
7. ต้องทำดีต่อผู้อื่น แต่อย่าหวังว่าผู้อื่นต้องทำดีต่อเรา เราปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างไร มิได้หมายความว่าผู้อื่น ก็จะปฏิบัติตอบต่อเราในแบบเดียวกัน.. ลูกต้องเข้าใจในข้อนี้ จะได้ไม่หาทุกข์ใส่ตัวโดยไม่จำเป็น
>

>
8. พ่อซื้อล๊อตเตอรี่มาตลอดชีวิต ยังยากจนเหมือนเดิม แม้แต่รางวัลเลขท้ายยังไม่เคยถูกเลย นี่เป็นบท พิสูจน์ว่า คนเราจะเจริญก้าวหน้าได้ ต้องขยันขันแข็งอย่างเดียวเท่านั้น ในโลกนี้ไม่มีมื้อเที่ยงที่ไม่ต้อง เสียตังค์ (No free lunch)
>

>
9. ญาติ มิตร หรือสหาย ล้วนเป็นกันชาตินี้ชาติเดียว ฉะนั้น จงหวงแหนโอกาสที่ได้อยู่ด้วยกัน
> ค่านี้ เพราะในชาติหน้า ไม่ว่าท่านจะรักใครหรือชังใคร ท่านก็จะไม่มีโอกาสได้พบกันอีก (หมายเหตุ ถึงพบกันก็ไม่รู้จักกัน )



paijit

วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

Michael Jackson Dangerous World Tour Live in Bangkok 1993

การ เลือก ของมนุษย์

จากหนังเรื่อง Dodgeball: A True Underdog Story (2004)



ผมชอบประโยคสนทนานี้มาก

Lance Armstrong: Hey, aren't you Peter La Fleur?

Peter La Fleur: Lance Armstrong!

Lance Armstrong: Yeah, that's me. But I'm a big fan of yours.

Peter La Fleur: Really?

Lance Armstrong: Yeah, I've been watching the dodgeball tournament on the Ocho. ESPN 8. I just can't get enough of it. But, good luck in the tournament. I'm really pulling for you against those jerks from Globo Gym. I think you better hurry up or you're gonna be late.

Peter La Fleur: Uh, actually I decided to quit... Lance.

Lance Armstrong: Quit? You know, once I was thinking about quitting when I was diagnosed with brain, lung and testicular cancer, all at the same time. But with the love and support of my friends and family, I got back on the bike and I won the Tour de France five times in a row. But I'm sure you have a good reason to quit. So what are you dying from that's keeping you from the finals?

Peter La Fleur: Right now it feels a little bit like... shame.

Lance Armstrong: Well, I guess if a person never quit when the going got tough, they wouldn't have anything to regret for the rest of their life. But good luck to you Peter. I'm sure this decision won't haunt you forever.


ผมคิดว่าปัญหาที่เกิดขึ้นกับ มนุษย์อย่างเราๆส่วนใหญ่ก็เป็น เพราะการ "เลือก" ของเราเองทั้งนั้น
ไม่ว่าจะเลือกมองเลืองฟังเลื อกดมเลือกพูดเลือกที่จะไขว่ คว้า เลือกที่จะเชื่อหรือไม่เชื่อ โดยเฉพาะ
การเลือกที่จะเชื่อว่าสิ่งที่ ตนคิดนั้น ถูกต้องดีแล้ว ฉันมีข้อมูลมากพอแล้ว
ฉันไม่จำเป็นต้องไปเชื่อ ความเชื่อแบบอื่นๆที่จะทำให้ ความเชื่อมั่นของฉันกลายเป็นสิ่งที่ฉันต้องยอมรับว่าฉันเชื่อมาผิดๆ
การ Open mind ก็เป็นการเลือกเหมือนกัน แต่เราไม่ค่อยจะเลือกกันจริงๆจังๆ
หรือไม่ปากก็บอกชั้นนี่แหละopen mind (แต่ปาก) ในความเป็นจริง คนอย่าง Peter La Fleur
ไม่รู้จะมีจริงหรือเปล่า แม้ผมแอบคิิดว่า น่าจะมี แต่ผมก็ยังไม่เคยเห็นตัวเป็นๆ ซักที
ผมชอบที่เขาเป็นคนopen mind แบบสุดๆ ในความคิดของผม คนเรานั้น ไม่แปลกที่จะ "เลือก" แล้ว "พลาด"
Peter ก็เช่นกัน แต่ประเด็นมันอยู่ที่ เมื่อเลือกแล้ว พลาดแล้ว แล้วไงต่อ
เพราะชีวิต..มันยังไม่จบนี่ วันใหม่กำลังมา เวลาที่เราต้อง "เลือก" ผ่านเข้ามาเสมอ และตอนนี้แหละที่ผมคิดว่า
ความถ่อมใจ(ไม่ใช่ถ่อมตัว) กับความหยิ่ง จะเป็นตัวชี้วัดบุคคลภายใน(สันดานดิบ) ของคนเราตอนที่
Peter La Fleur เลือกเดินหนีจากทีม นั้นก็เป็นสิ่งที่เขาเลือก แต่ก่อนที่จะสายเกินไป บังเอิญเเขาได้มาเจอกับ
Lance Armstrong !! นักปั่นจักรยานที่ต่อสู้กับโรคมะเร็ง ด้วยหัวใจเกินล้าน ประโยคสนทนาที่ทั้งคู่คุยกัน นั้น
มันช่างบาดลึกลงในหัวใจผู้ชมอ ย่างผม และมันก็บาดลึกในหัวใจPeter ด้วยเช่นกัน
แต่...ต่อให้ชีวิตเรานั้น ได้รับคำเตือนสติที่ดีที่สุดในจักรวาล ถ้าเราหยิ่ง คำเตือนสตินั้นก็ไร้ความหมาย >> มีต่อ...